ถ้าทางบริษัทสนใจ จะติดต่อกลับไปนะคะ….
ถ้าทางบริษัทสนใจ จะติดต่อกลับไปนะคะ….
ประโยคนี้หลายคนคุ้นๆ กันไหมฮับ เวลาที่เราไปสัมภาษณ์งาน บางคนที่ได้รับการติดต่อกลับก็ได้เริ่มงานใหม่ และคนที่ทางบริษัทไม่ได้ติดต่อกลับไปล่ะ มันเพราะสาเหตุใดกันนะ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นระหว่างการสัมภาษณ์ที่ทำให้เราไม่ถูกคัดเลือก อย่าพึ่งนอย เครียดไม่ตรงจุด ก่อนจะเสียความมั่นใจในตัวเองแล้วหาทางไปอย่างไร้จุดหมาย ลองแวะพักสำรวจและเตรียมความพร้อมรีเฟรชตัวเองกันใหม่ ทั้งน้องๆที่พึ่งเรียนจบมากำลังหางานทำ หรือผู้ที่อยากหาทางเติบโต ขยับขยายตำแหน่งที่สูงขึ้น สิ่งไหนกันที่ทางบริษัททั้งหลายต่างมองหาในตัวผู้สมัครที่จะมาร่วมทีมกับพวกเขา
หลากหลายเหตุผลมากมายที่แต่ละบริษัทไม่เคยบอกคุณ อาจจะด้วยระยะความสัมพันธ์เพราะไม่ใช่สิ่งที่จะมาแนะนำ สอนกันได้ทั่วไป กลัวว่าจะไปเป็นการตำหนิติเตียน และบางคนอาจจะรับไม่ได้ จะเป็นการทำให้เสียความรู้สึกหรือความมั่นใจกันไปทั้งที่ไม่รู้จักกัน หรือเอาจริงๆก็ไม่ใช่กิจธุระขององค์กรณ์ที่จะมาแนะนำให้กันฟรีๆ
วันนี้เพจกรรมกรออฟฟิศของเราลองรวบรวมเหตุผลหลายๆข้อมาแบไต๋ให้มาอ่านกัน มาเริ่มต้นที่ข้อแรกกันเลยยยย
1. บุคลิกภาพ การแต่งกายที่เหมาะสมกับกาลเทศะ
ด่านแรกที่หลายคนตกม้าตายตั้งแต่ไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ไม่ใช่เพราะคุณไม่ใส่ชุดสุภาพ หรือเพราะทรงผมที่เสยตีกระบังจรสูงเกินไป ฟันที่ขูดหินปูนมาอย่างสะอาด น้ำเสียงในการพูด กลิ่นกระเทียมจากอาหารที่พึ่งกินไปเมื่อเช้า ต้องมีอะไรพลาดไปสักอย่างแน่ๆ
ลองนึกภาพว่าคนมาสมัครไปเป็นเซลล์ขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่หน้าผากมีรอยสักเขียนคำว่า LOVE ตัวโตๆ คุณจะเชื่อถือการมาติดต่อขายของเซลล์คนนี้หรือไม่ แม้จะไม่ใช่สักคำหยาบอะไรเลยก็ตาม สิ่งที่พูดถึงอยู่นี้ก็คือบุคคลิกภาพที่มีความน่าเชื่อถือและส่งเสริมกันกับสายงานที่คุณสมัครนั่นเอง หากอยากได้งานที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ หรืองานที่เน้นความสร้างสรรค์สายแฟชั่น บุคลิกในการแต่งตัวย่อมต่างกันออกไป คุณไม่สามารถจะใส่แค่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะกับทุกโอกาสและทุกสถานที่จริงมั้ย
เพียงแค่คุณใส่ใจกับการเลือกขึ้นสักหน่อยโดยประกอบกับเหตุผลทั้งด้านลักษณะสายงานที่คุณสมัครงาน กลุ่มคนบุคลิกภาพแบบไหนที่เหมาะสม เสาะหาความรู้เพิ่มเติมว่าองค์กรณ์แต่ละที่มีคาแรคเตอร์อย่างไร สภาพแวดล้อมการทำงานเป็นอย่างไร ทำให้เราได้ทราบข้อมูลคร่าวๆของตัวบริษัทด้วยย่อมดีกว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับองค์กรณ์นั้นเลย เห็นมั้ยว่าแค่เพียงหัวข้อแรกก็สามารถบ่งบอกได้แล้วว่าคุณเป็นคนเตรียมความพร้อมหรือไม่
2. ความไม่พร้อมในการสมัครงาน
ทั้งทางด้านเอกสารที่พบเห็นได้บ่อยๆ ลืมเอกสารสำคัญ ไม่พกปากกา หรือแม้แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คุณไม่น่าจะพลาดมันไป อาจฟังดูตลกที่รายละเอียดเหล่านี้มักถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆหากคุณสมัครในส่วนงานที่เน้นความละเอียดรอบคอบและพิถีพิถันมันย่อมเป็นกระจกสะท้อนตัวคุณอยู่เหมือนกันว่าคุณเป็นคนละเอียดรอบคอบ ใส่ใจต่อรายละเอียดต่างๆรอบตัวหรือไม่อย่างไร
3. ฉันมาทำอะไรที่นี่ ?
เสียงเพลงและเนื้อร้องท่อนนี้จะลอยมาทุกครั้งเมื่อคุณไร้จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการอยากมาร่วมทีมกับบริษัทนั้น รู้แค่ว่ามาหางานทำเพื่อแลกเงินเหตุผลเท่านี้ไม่ได้ทำให้คุณแตกต่างจากผู้สมัครรายอื่นๆทั่วไปที่มาแข่งขันกับคุณ เพราะสิ่งที่บริษัทต้องการคือคนที่มีใจในการทำงานเพื่อผลักดันให้องค์กรณ์ไปข้างหน้า ยิ่งถ้าคุณมองเห็นตัวเองชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายมาเรียนรู้และอยากช่วยเหลือ พัฒนาที่นี่อย่างไรแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนส่วนงานใดถ้าตัวคุณแสดงให้เห็นถึงพลังงานเต็มเปี่ยมย่อมทำให้ตัวคุณดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น บริษัทก็จะรู้สึกอยากลงทุนจ้างงานทันทีเชียวล่ะ เพราะที่ไหนก็อยากได้คนมีมองโลกในแง่ดีและมีความกระตือรือร้นทั้งนั้น
4. ลืมพกความมั่นใจ หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ความมั่นใจในระดับที่พอดีจะทำให้คุณดูมีเสน่ห์ คงจะแลปกๆหากเราคุยกับใครแล้วเขาเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตา เกาหัว เกาคาง ลูบใบหน้า แคะเล็บมือ หรือแม้แต่น้ำเสียงและท่าทางการตอบคำถามที่ชัดเจน สุภาพ ฉะฉาน นั้นสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างดี เป็นตัวบ่งบอกถึงทักษะการเข้าสังคม การสื่อสารของตัวคุณที่แสดงออกต่อผู้อื่น คงจะไม่เหมาะแน่หากคุณสมัครเป็นพนักงานขายที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาลูกค้าของคุณ หรือตะกุกตะกักในการให้ข้อมูลสินค้าหรือบริการจริงไหม
5. ความอ่อนน้อมถ่อมตนที่หลายคนมองข้าม
เป็นสิ่งที่จะต้องพกคู่มากับความมั่นใจ หากคุณมีแต่ความมั่นใจอย่างเดียวแต่ขาดความอ่อนน้อม สุภาพอ่อนโยน ความมั่นใจอาจเป็นดาบทิ่มแทงตัวคุณเองได้ ในโลกของการทำงานประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายวัย การจะร่วมงานและสื่อสารกันให้ได้ผลดี ย่อมต้องมีวิธีการปรับตัวให้เข้ากับองค์กรณ์อย่างเหมาะสม ข้อนี้จะเป็นตัวบ่งบอกถึงทักษะการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม การเข้าหาผู้คนและการสร้างสัมพันธ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณไปร่วมงานกับผู้อื่น
เพียงแค่ 5 ข้อแรกก็พอจะเห็นแล้วว่า ยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นตอนการพูดถึงเนื้องานเลย คุณถูกประเมินไปหลายขั้นตอนเสียแล้ว การที่จะว่าจ้างใครสักคนนั้นย่อมต้องใช้ทรัพยากรทั้งเงิน เวลา และบุคลากร จึงไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเลือกกันแบบขำๆ ฝากไว้เท่านี้ก่อนที่จะยาวไปมากกว่านี้ เหตุผลอีกมากมายที่รอเฉลยอยู่ในครั้งหน้า แล้วจะรู้สึกว่ามีอะไรที่ยังนึกไม่ถึงอีกเยอะเลย แล้วเจอกันเร็วๆนี้ฮับ โชคดี สู้ๆกันทุกคนนะฮั๊บบบบ